สาหร่ายเกลียวทอง แฮปปี้ไลฟ์

home02.jpgaboutUS01.jpgspirulina1.jpgsent_product1.jpgPurcess1.jpgRegisMember1.jpgstep1.jpgcontac01.jpg




สาหร่ายเกลียวทอง "อาหารดีคือยาวิเศษ"

     

     ในยุคปัจจุบันพฤติกรรมในการบริโภคของคนเปลี่ยนไปเนื่องจากการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบของคนในสังคม ทำให้คนส่วน
ใหญ่ละเลยและขาดการเอาใจใส่ดูแลสุขภาพของตนเอง โดยเฉพาะในเรื่องของการออกกำลังกายที่ผู้คนให้ความสนใจน้อย
มาก ในทางกลับกันผู้คนหันมาบริโภคอาหารที่ติดฉลากว่าเป็น "อาหารเพื่อสุขภาพ" หรือ"อาหารธรรมชาติ" ซึ่งวางขาย
ในท้องตลาดและหนึ่งในจำนวนนั้นที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง คือ "สาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina) " ”ซึ่งได้รับการ
ขนานนามว่า " "อาหารทิพย์จากสวรรค์""อาหารแห่งอนาคต" "อาหารเพื่อชาวโลก" และ "อาหารมหัศจรรย์"

      นางเจียมจิตต์ บุญสม ผู้อำนวยการด้านการวิจัยบริษัท กรีนไดมอนด์ จำกัด เป็นผู้ให้ชื่อภาษาไทยของสาหร่ายสไปรูลิน่า
ว่า "สาหร่ายเกลียวทอง" คำว่าสไปรูลิน่ามาจากคำว่า สไปรัล (Spiral) ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายถึงรูปเกลียววนแบบขดหอย
สาหร่ายเกลียวทองมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมคือประเทศเม็กซิโกและทวีปแอฟริกา ซึ่งชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในแหล่งต่างๆเหล่านี้
ได้ใช้เป็นอาหารประจำวันมาเป็นเวลาหลายพันปี สาหร่ายเกลียวทองเป็นสาหร่ายเซลล์เดียวที่อยู่ในตระกูล  สาหร่ายสีเขียว
แกมน้ำเงินไม่ีมีรถชาติ   มีจำนวนทั้งหมด 35 สายพันธุ์ต่บางสายพันธุ์ก็ไม่เหมาะที่จะใช้เป็นอาหารเนื่องจา   มีคุณค่าทาง
โภชนาการต่ำและสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ สายพันธุ์เม็กซิโกซึ่งสามารถเจริญได้ดีที่อุณหภูมิ 35-36.6 องศา-
เซลเซียส อันเป็นระดับเดียวกับเลือดของมนุษย์และขึ้นได้ดีในแหล่งน้ำที่ค่อนข้างเค็มในเขตศูนย์สูตร เกลียวของสาหร่าย
ชนิดนี้จะเปลี่ยนไปตามอุณภูมิ ค่า pH และสารอาหารที่มันได้รับ สาหร่ายชนิดนี้มีขนาดเล็กมาก ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์
ในการศึกษา

 
         ข้อความในหนังสือ "The Secret of Spirulina" ซึ่งนางเจียมจิตต์  บุญสม แปลเป็นภาษาไทยว่า "ความลับของสาหร่าย-
เกลียวทอง"ได้กล่าวถึงสาหร่ายชนิดนี้ว่า ในอดีตกาลชาวมายันที่อาศัยอยู่แถบแหลม Yucatan ในอเมริกากลางมีชีวิตอย่าง
เรียบง่าย ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เป็นป่าดงดิบ ไม่สามารถทำการเกษตรได้ หลังจากทำไร่เลื่อนลอยจนดินเสื่อมพวกมายัน
ได้สร้างบ่อเพาะเลี้ยงพืชที่มีลักษณะเป็นแพสีเขียวขึ้นซึ่งอาจจะเป็นบ่อเพาะสาหร่ายเกลียวทอง อยู่ท่ามกลางป่าดงดิบที่ถูก
แผ้วถางแล้ว มีระบบระบายน้ำที่สลับซับซ้อนที่ดูเหมือนจะป้องกันน้ำท่วมบ่อ นักโบราณคดีได้ค้นพบเรื่องราวเหล่านี้และ
สรุปว่าถึงแม้ฝนจะตกถึง 70-90 นิ้วต่อปีระบบระบายน้ำคงจะไม่สร้างขึ้นเพื่อการชลประทานเพาะปลูกทั่วไป   น่าจะเป็น
การบำรุงรักษาบ่อสาหร่ายมากกว่า   ซึ่งน่าจะเป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่าได้มีการพัฒนาฟาร์มสาหร่ายของชาวมายัน เพื่อเลี้ยง
ประชากร 2 ล้านคน มากกว่าที่จะเพาะปลูกการเกษตรทั่วไป  ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าสาหร่ายเกลียวทองได้ถูกนำมาใช้
เป็นอาหารเลี้ยงประชากรมาตั้งแต่สมัยอดีตกาลมาแล้ว
 
         นอกจากนี้หนังสือ "The Secreat of Spirulina" ยังได้กล่าวถึงปริมาณโปรตีนของสาหร่ายเกลียวทอง (แห้ง)
เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารชนิดอื่นไว้ดังนี้

    - เนื้อวัว 18-20%       - ถั่วเหลือง 33.35%
    - ไข่ 10-25%            - ปลาทู ปลาอินทรีย์ 20%
    - ข้าวสาลี 6-10%       - คลอเรลลา 40-56%
    - ข้าวเจ้า 7%           - สาหร่ายเกลียวทอง 69.5-71%
          คณะกรรมการอาหารและยา  กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ข้อมูลว่าสาหร่ายเกลียวทองเป็นสาหร่ายที่มีโปรตีนสูงถึง
60-70%
เมื่อเปรียบเทียบกับพืชชนิดอื่นๆ เช่น ถั่วเหลือง ซึ่งให้โปรตีนเพียง 37% และยังพบว่าโปรตีนของสาหร่ายเกลียวทอง
มีปริมาณสูงกว่าเนื้อสัตว์นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยกรดแกมม่าไลโนเลนิก(GLA)ซึ่งกรดนี้มีคุณสมบัติช่วยลดไขมันในเลือด
ลดความดันโลหิต บรรเทาอาการข้ออักเสบ ปวดประจำเดือน และสิวฝ้า, วิตามิน B12  ซึ่งถ้าขาดวิตามินนี้ก็จะทำให้เกิดโรค
โลหิตจางได้, วิตามิน A ซึ่งอยู่ในรูปเบตาแคโรทีน มีบทบาทในการลดอนุมูลอิสระ ดังนั้นจึงนำมาใช้เป็นสารต้านมะเร็งชนิด
ต่างๆและสาหร่ายนี้ยังเป็นแหล่งที่มีวิตามิน E, วิตามิน C ,วิตามิน B1, B12 และไนอาซีนสูง นอกจากวิตามินต่างๆแล้วยังมี
เกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมาย เช่น ธาตุเหล็ก สังกะสี แมงกานีส ทองแดง เซเลเนียม แคลเซียม และยังประกอบด้วย
สีเขียวของคลอโรฟิลล์อีกด้วย
 
         จากรายงานการวิจัยของ ดร.มาโกโตะ อูโนะ วิทยาลัยแพทยศาสตร์ เกียวโต พิสูจน์ว่าคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในรูปสาหร่าย
เกลียวทองมีผลต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและสัตว์ การเผาผลาญอาหาร การหายใจ กระตุ้นสร้างเม็ดเลือดแดงการ
ทำงานของฮอร์โมนและการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
       งานวิจัยเกี่ยวกับสาหร่ายเกลียวทองในประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2511 คณะนักวิจัยได้มาร่วมทำงานกันโดย
ตั้งเป้าที่จะเริ่มการผลิตในระดับอุตสาหกรรม โดยได้รับความช่วยเหลือจากสหพันธ์สาหร่ายขนาดเล็กนานาชาติ หลังจาก
ดำเนินงานได้ 2 ปี ก็โอนกิจการงานวิจัยให้กับบริษัทไดนิปปอนอิงค์ กากากูโกกิโอ คาบู ชิกิไกซา บริษัทนี้ประสบความ
สำเร็จในการผลิตสาหร่ายเกลียวทองในระดับอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีคุณภาพดีและเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป
         ผลการวิจัยของศาสตราจารย์ ดร.เคนอิชิ อะกัตซูกะ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่นที่ปรากฎใน
หนังสือ "The Secreat of Spirulina" พบว่าสาหร่ายสไปรูลิน่ามีลักษณะของความปลอดภัย ดังนี้ คือ
       เป็นผลิตภัณฑ์ที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
       ไม่มีผลข้างเคียง แม้ว่าจะใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานสักเท่าใด
       แม้ว่าบังเอิญจะกินเข้าไปมากเกินขนาด ก็ไม่เกิดเป็นพิษหรือมีผลข้างเคียง
       เมื่อใช้เป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายแข็งแรงและเพิ่มความต้านทานโรค
 
           สำหรับในประเทศไทย ได้มีนักวิจัยหลายท่านที่ทำการวิจัยเรื่องนี้ อาทิเช่น รองศาสตราจารย์ ดร.มรกต ตันติเจริญ
รองผู้อำนวยการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ว่าสาหร่ายชนิดนี้นอกจากจะนำมาถ่ายทอดสู่ภาคเอกชนในการสร้างโรงงานผลิตเป็นอาหารอันโอชะของบรรดาสัตว์น้ำทั้ง
หลายแล้วยังมีประโยชน์อย่างยิ่งในการกำจัดน้ำเสีย  เนื่องจากสาหร่ายเกลียวทองสามารถเกิดขึ้นเองได้ในน้ำเสีย ยิ่งถ้า
ปล่อยน้ำเสียลงในบ่อมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีสาหร่ายเกลียวทองเกิดขึ้นมากเท่านั้น  เพราะในน้ำเสียจะมีไนโตรเจนและ
ฟอสฟอรัสซึ่งเป็นอาหารของสาหร่ายเกลียวทอง เมื่อไนโตร-เจนและฟอสฟอรัสลดลงน้ำก็จะอยู่ในสภาพที่ดี นอกจาก
นั้นยังใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญของเครื่องสำอางบางชนิดเช่น ครีมรักษาสิวเสี้ยน เป็นต้น
 
          งานวิจัยชิ้นสำคัญที่กล่าวถึงผลเสียของการกินสาหร่ายสไปรูลินาคือ งานวิจัยของ ผศ. ดร.ภญ. อรนงค์ กังสดาลอำไพ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งกล่าวว่า "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีขายนั้น บางอย่างจะพูดถึงเฉพาะ
ประโยชน์ กรณีสาหร่ายเกลียวทองเป็นพืช สาหร่ายเซลล์เดียวที่ให้โปรตีนแต่ปริมาณไม่มากนัก กินอาหารประเภทอื่นก็ได้
เช่น ถั่ว แต่ผลร้ายที่ตามมาคือ สาหร่ายเกลียวทองมีกรดนิวคลีอิก สะสมเป็นกรดยูริก ตกตะกอนตามข้อก่อให้เกิดโรคเก๊าต์
ปวดตามข้อ เป็นอาการตามมาไม่จำเป็นต้องรับประทานสาหร่ายเกลียวทองเพราะอาหารทั่วไปมีโปรตีนอยู่แล้ว"
 
           ต่อมา นายแพทย์อนุชาติ มาธนะสารสุนทร อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์ หาวิทยาลัย
เชียงใหม่ ได้เสนอผลการวิจัยซึ่งสรุปผลตรงกันข้ามกับงานวิจัยของ ภญ. อรนงค์ โดยได้แถลงผลการวิจัยเกี่ยวกับกรดยูริก
ในสาหร่ายเกลียวทองที่มีผลต่อการเกิดโรคเบาหวานและโรคเก๊าท์ว่า      "สาหร่ายเกลียวทองมีผลในการช่วยลดกรดยูริก
ในเลือด ดังนั้นสาหร่ายเกลียวทอง จึงไม่ส่งผลให้เกิดโรคเบาหวานและโรคเก๊าท์อย่างแน่นอน" อีกทั้งนายสมชาย บุญสม กรรมการผู้จัดการบริษัทกรีนไดมอนด์ เชียงใหม่ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนผลิตภัณฑ์สาหร่ายเพื่อทำการวิจัยครั้งนี้กล่าวเกี่ยวกับ
เรื่องนี้ว่าผลการศึกษาก่อนหน้านี้ที่ทำให้นักวิชาการปักใจว่า สาหร่ายทำให้กรดยูริกในเลือดเพิ่มขึ้นและอาจทำให้เป็นโรค
เก๊าท์นั้น เป็นเพราะผลการศึกษาก่อนหน้านี้นำสาหร่ายสายพันธุ์หนึ่งมาทดลองกับหนู และพบว่าทำให้เกิด กรดยูริก เพิ่ม
มากขึ้น จนทำให้นักวิชาการมีความเชื่อว่ากินสาหร่ายแล้วทำให้เกิดโรคเก๊าท์ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วในการวิจัยครั้งนั้นได้ใช้
สาหร่ายคนละสายพันธุ์กับสไปรูลิน่า
 
          จากการวิจัยของ รศ. ดร. สุมนทิพย์ บุนนาค อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
พบว่า สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินชื่อ สไปรูลิน่า เป็นสาหร่ายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการนำมาทำเป็นอาหารเสริม เนื่องจาก
มีปริมาณนิวคลีอิกและเซลลูโลสต่ำ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง นอกจากนี้ รศ. ดร. สุมนทิพย์ บุนนาค ยังได้ให้สัมภาษณ์กลุ่ม
นาฬิกาทรายเมื่อ วันที่ 26 ธันวาคม 2545 โดยกล่าวว่า "อาหารชนิดใดก็ตามถ้าบริโภคเกินพอดีก็จะก่อให้เกิดโทษได้ และ
ถ้าเราไม่บริโภคสาหร่ายสไปรูลิน่าในปริมาณที่มากเกินไปก็จะไม่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย"
 
          ในประเทศอินเดียที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลกได้พยายามอย่างยิ่งที่จะให้มีอาหารเพียงพอสำหรับคนใน
ประเทศ สาหร่ายเกลียวทองเป็นสาหร่ายชนิดหนึ่งที่ถูกเลือกใช้เพื่อช่วยให้บรรลุจุดประสงค์นี้ในส่วนหนึ่ง เพราะเป็นการเลี้ยง
ที่ใช้ต้นทุนต่ำขณะเดียวกันประเทศเม็กซิโก ทั้งสถาบันฝ่ายรัฐบาลและมหาวิทยาลัย ได้ศึกษาเกี่ยวกับการเติมสาหร่ายเกลียว
ทองลงในนม ปริมาณ 10% สำหรับให้ทารกและเด็กขาดสารอาหารดื่มผลจากการศึกษาครั้งนั้นรัฐบาลได้อนุญาตให้ใช้
สาหร่ายเกลียวทองเป็น อาหารชนิดใหม่ได้
 
         ก่อน ค.ศ. 1981 ประเทศสหรัฐอเมริกามีกฎหมาย FDA (Food and Drug Administration) ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์
ทุกชนิดเป็นยา โดยไม่ผ่านการทดสอบและรับรองเสียก่อน ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่อนุญาตให้ประชาชนบริโภคผลิตภัณฑ์ที่สกัด
จากสาหร่ายเกลียวทองแต่อย่างไรก็ตามสาหร่ายสไปรูลิน่าได้รับการประกาศรับรองจากสถาบันชั้นนำของโลกหลายสถาบัน
ได้แก่
          ค.ศ. 1967 "THE INTERNATIONAL CONFERENCE ON APPILIED MICROBIOLOGY" ประกาศว่า
            สาหร่ายสไปรูลิน่าเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของมวลมนุษยชาติ
          ค.ศ.1974 UN ประกาศในที่ประชุมอาหารโลกว่าเป็น "THE MOST IDEAL FOOD FOR MANKIND"
          ค.ศ.1974 FAO (Food and Agriculture Organization) แนะนำว่าเป็น “ The Best Food for Tomorrow”
           ให้กับสาหร่ายสไปรูลิน่า
          ค.ศ.1981 FDA (Food and Druge Admistration) แห่งสหรัฐอเมริการับรองว่าสาหร่ายสไปรูลิน่า เป็นผลิตภัณฑ์
            เพื่อสุขภาพที่ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นพิษ
          ค.ศ.1983 IFE (International Food Exposition)ซึ่งจัดทำขึ้นที่ประเทศเยอรมันตะวันออก มอบรางวัล
           "The Best Natural Food" ให้สาหร่ายสไปรูลิน่า
          ค.ศ.1992 WHO (World Health Organizion) ประกาศแนะนำว่า สาหร่ายสไปรูลิน่าเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพใน
            คริสตวรรษที่ 21
 
         ที่ประเทศญี่ปุ่นมีการศึกษาสไปรูลิน่าในด้านเป็นอาหารเสริมวันละ 6-10 กรัม (12-20 เม็ด) ในปริมาณ
เช่นเดียวกันนี้ นักกีฬา และนักวิ่ง ฯลฯ ก็จะสามารถเพิ่มพูนกำลังได้เช่นเดียวกัน และสิ่งที่น่าทึ่งอย่างหนึ่ง
ก็คือมีนักปราชญ์ชาวญี่ปุ่น ชื่อโทรุ มัทซุอิ สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่รับประทานอาหารอื่นใดเลย
นอกจาก สาหร่ายเกลียวทองและสาหร่ายอื่นบ้างเป็นเวลา 15 ปี โดยไม่ปรากฏผลข้างเคียงที่เป็น
อันตรายแต่อย่างใด เราอาจจะพบสาหร่ายสไปรูลิน่าในรูปของเม็ด แคปซูล หรือเป็นผง เรา
สามารถรับประทานเป็นอาหารเสริมได้หลายรูปแบบ การบริโภคสไปรูลิน่าจะได้ผลเร็วหรือช้า
นั้นขึ้นอยู่กับ อายุ ความเครียด นิสัยการบริโภค ปริมาณสารเคมีหรือสารตกค้างในร่างกาย
ความรุนแรงของโรค การบริโภคสาหร่ายในปริมาณที่เพียงพออย่างต่อเนื่อง ปริมาณ
การออกกำลังกายและการพักผ่อน โดยทั่วไป สัปดาห์แรก จะได้ปฎิกิริยาตอบรับ
ร่างกายจะมีการปรับตัวมีการตอบรับที่ดีขึ้น ปัญหาสุขภาพที่มีอยู่จะค่อย ๆ ดีขึ้น
ในเดือนที่ 3-5 ก็จะฟื้นฟูจนปกติ ยกเว้นผู้ที่ร่างกายทรุดโทรมมากจนเซลล์
์ที่ประกอบเป็นอวัยวะเสียไปหมดแล้วก็จะไม่สามารถฟื้นฟูได้
 
 

 

บริษัท แฮปปี้ไลฟ์ ไบโอเทรด จำกัด จัดจำหน่าย สาหร่ายเกลียวทอง H-Life สไปรูลิน่า spirulina
11/34 โครงการใจแก้วเอราวัณ ถ.เชียงใหม่ - ลำพูน ม.3 ต.หนองหอย อ.เมือง จ. เชียงใหม่ 50000
สำนักงานใหญ่ โทร.053-111684
ฝ่ายขาย 086-431-9489,081-603-4412,086-429-8016
Search powered by Google™